แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - admin

หน้า: [1] 2
1
ทำความรู้จัก “รถไฟฟ้า” ทุกสายในกรุงเทพ
(ฉบับล่าสุดปี 2024)


รถไฟฟ้าถือเป็นเส้นทางการเดินทางคู่ใจของคนกรุงเทพหลายแสนคนในแต่ละวัน
รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศอีกนับล้านในรอบปี ในขณะนี้
ประเทศไทยของเรายังมีระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอยู่แค่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น
โดยมีระยะทางรวมทั้งหมด 276 กิโลเมตร สถานีทั้งบนดินและใต้ดินกว่า 190 สถานี
และมีสถิติผู้ใช้งานวันละเกือบ 2 ล้านคนเลยทีเดียว
วันนี้ เรามาอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย
ไล่ตั้งแต่สายที่เก่าแก่ที่สุดไปจนถึงสายใหม่ล่าสุดอย่างสายสีชมพูกันเลย

ข้อมูลในภาพรวม

ระบบการขนส่งมวลชนด้วยรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ประกอบด้วยรถไฟฟ้าทั้งหมด 10 สาย ได้แก่ สายสีลม สายสุขุมวิท และสายสีทอง ภายใต้การบริหารของ
BTS สายสีน้ำเงิน สายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง และสีชมพู
ภายใต้การจัดการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ MRT
รวมถึงสายสีแดงเข้มและแดงอ่อน ภายใต้การดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปิดท้ายด้วย
Airport Rail Link ที่เชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิเข้ากับใจกลางเมืองกรุงเทพ
ในภาพรวม การขนส่งมวลชนด้วยระบบรางในกรุงเทพ มีระยะทางรางทั้งหมด 276.84 กิโลเมตร
เปิดให้ใช้บริการใน 192 สถานี และมีประชาชน นักท่องเที่ยว และบุคคลต่าง ๆ เข้าใช้งานมากถึง 1.68
ล้านคนต่อวัน โดยข้อมูลจากเดือนสิงหาคม ปี 2566 ระบุว่า วันที่ 25 สิงหาคม 2566
เป็นวันที่ทำสถิติผู้เข้าใช้งานมากที่สุดที่ 1.75 ล้านคนเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ในช่วงที่อยู่บนรถ ผู้ใช้งานรถไฟฟ้าหลายคนก็อาจจะมีกิจกรรมทำแตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข่าว ดูละคร หรือพนันกีฬาบนเว็บไซต์  12betlink.com เพื่อฆ่าเวลาขณะเดินทาง
ต่อจากนี้ เราไปทำความรู้จักกับรถไฟฟ้าทั้ง 10 สายกันทีละสายกันเลยดีกว่า

รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสุขุมวิท (เขียวอ่อน) สายสีลม (เขียวเข้ม)
และสายสีทอง


ได้ชื่อว่าเป็นรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเจ้าเดียวที่มีชื่อ “กรุงเทพ” แปะอยู่
ก็สมแล้วที่จะเป็นรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ย่อมาจาก Bangkok
Mass Transit System หรือ “ระบบขนส่งมวลชนแห่งกรุงเทพมหานคร”
เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2542 จวบจนวันนี้ เป็นเวลาเข้าสู่ปีที่ 25 แล้ว
ตลอดสาย รถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งในส่วนของสายสุขุมวิทและสายสีลม ให้บริการทั้งสิ้น 62
สถานีตลอดระยะทางเกือบ 70 กิโลเมตรเป๊ะ ๆ มีข้อมูลว่าในปี 2566
รถไฟฟ้าบีทีเอสรับส่งผู้โดยสารทั้งไทยและต่างชาติ ทะลุ 191 ล้านคนเลยทีเดียว
คิดเป็นเกือบสามเท่าของประชากรทั้งประเทศ
ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีทอง เชื่อมต่อกับสายสีลมผ่านสถานีกรุงธนบุรี
เป็นที่โด่งดังเนื่องจากเป็นสถานีรถไฟที่ให้บริการห้างสรรพสินค้า “ไอคอนสยาม”

การขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสในอนาคต

สำหรับการขยับขยายเส้นทางในอนาคต
รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงมีแผนจะขยายช่องทางเดินรถเพิ่มอีกในทุกทิศทาง ดังนี้
1. ฝั่งเคหะ ขยายต่อไปถึงบางปู เป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร ผ่าน 4 สถานีใหม่
ปัจจุบันอยู่ในระยะวางแผน
2. ฝั่งคูคต ขยายต่อไปถึงถนนวงแหวนตะวันออก เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร ผ่าน 4 สถานีใหม่
ปัจจุบันอยู่ในระยะวางแผน
3. ฝั่งสนามกีฬาแห่งชาติ ขยายต่อไปถึงยศเส เป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ผ่าน 1 หรือ 2 สถานีใหม่
ปัจจุบันอยู่ในระยะวางแผน
4. ฝั่งบางหว้า ขยายต่อไปถึงบางรักน้อยท่าอิฐ เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร ผ่าน 11 สถานีใหม่
ปัจจุบันอยู่ในระยะสร้างแผนปฏิบัติงาน
รวมทั้งสิ้น 36 กิโลเมตร ผ่าน 20 หรือ 21 สถานีใหม่

รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง และสีชมพู

รถไฟฟ้าสายนี้เคยถูกเรียกกันอย่างถูกปากว่า เป็นรถไฟ “ใต้ดิน” สายเดียวของกรุงเทพ
ซึ่งตอนนี้ก็ได้ขยายต่อไปทั้งบนดิน ข้ามน้ำ และข้ามจังหวัดไปไกลมากแล้ว รถไฟฟ้าภายใต้การจัดการของ
MRT เปิดตัวเป็นครั้งแรกในช่วงปี 2547 โดยทิ้งช่วงห่างนานถึง 12 ปีจนสายสีม่วงเปิดให้บริการในปี 2559
ตามมาด้วยสายสีเหลืองและชมพูในช่วงปี 2566 รวมทั้งสิ้น 107 สถานี ระยะทาง 135.9 กิโลเมตร

พื้นที่ให้บริการของรถไฟฟ้า MRT

สำหรับแต่ละสาย ก็จะมีระยะทางและพื้นที่ให้บริการแตกต่างกันไป ดังนี้
● สายสีน้ำเงิน ให้บริการเป็นวงกลมรอบกรุงเทพ ตั้งแต่หลักสองจนถึงท่าพระ
● สายสีม่วง ให้บริการต่อไปจนถึงจังหวัดนนทบุรี จากเตาปูนไปถึงคลองบางไผ่
● สายสีเหลือง ให้บริการในโซนลาดพร้าว เชื่อมกับ Airport Rail Link ที่สถานีหัวหมาก
และไปหยุดที่สถานี BTS สำโรง
● สายสีชมพู ให้บริการในโซนรามอินทรา ลากยาวมาจากสถานีมีนบุรี
ข้ามจังหวัดจนถึงศูนย์ราชการนนทบุรี

รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มและแดงอ่อน

มาถึงรถไฟฟ้าภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ที่เป็นรถไฟฟ้าที่จะนำพาผู้โดยสารจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง รวมถึงย่านรังสิต
ให้สามารถเข้ามาเชื่อมต่อกับการขนส่งในตัวเมืองกรุงเทพได้อย่างเรียบง่าย
โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มในปัจจุบันให้บริการตั้งแต่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปจนถึงสถานีรังสิต
ส่วนสายสีแดงอ่อนยังอยู่ในช่วงทดลองบริการอยู่เพียง 2-3 สถานีเท่านั้น
อย่างไรก็ดี รถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งสองสายมีแผนจะขยายระยะให้บริการให้ครอบคลุมขึ้น
เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรในบริเวณจังหวัดอื่น ๆ
โดยเฉพาะบริเวณที่ยังไม่มีทางเลือกขนส่งมวลชนในการเดินทางเข้ากรุงเทพ

การขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสในอนาคต

สำหรับสายสีแดงอ่อน
ในปัจจุบันมีการเสนอให้ขยายเส้นทางเดินรถทางตะวันตกจากสถานีตลิ่งชัน ต่อไปจนถึงสถานีศาลายา
ในขณะที่ฝั่งตะวันออกก็มีแผนจะขยายไปจนถึงสถานีหัวหมาก เพื่อเชื่อมต่อกับ Airport Rail Link และ
MRT สายสีเหลืองเช่นกัน นอกจากนี้
จะมีการแตกเส้นทางออกมาที่สถานีตลิ่งชันเพื่อให้บริการโรงพยาบาลศิริราชร่วมกับ MRT
สายสีส้มในอนาคตอีกด้วย
สำหรับสายสีแดงเข้ม จะมีการขยายเส้นทางเดินรถต่อไปทางตอนเหนือ เชื่อมต่อ 2 มหาวิทยาลัย
อย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เข้าด้วยกัน ส่วนทางใต้
ในตอนนี้ก็มีแผนจะขยายมาเป็นช่วง ๆ โดยช่วงแรกจะขยายมาจนถึงสถานีหัวลำโพง ตามด้วยบางบอน
และมหาชัย โดยแผนในระยะไกลที่สุด จะมีการขยายสายสีแดงเข้มยาวไปจนถึงสถานีปากท่อ
จังหวัดราชบุรีเลยทีเดียว

รถไฟฟ้า Airport Rail Link

มาถึงรถไฟฟ้าสายสุดท้าย อย่าง Airport Rail Link
ที่ในปัจจุบันกำลังมีแผนเชื่อมท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งของกรุงเทพเข้าด้วยกันภายในปี พ.ศ. 2569
โดยจะมีการก่อสร้างสถานีถัดจากสถานีพญาไท 2 สถานี ได้แก่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ และสถานีดอนเมือง
โดยจะควบคู่กับ SRT สายสีแดงเข้มต่อไป

2
นอกจากจะเต็มไปด้วยบูธรถยนต์จากค่ายรถทั่วฟ้าเมืองไทยแล้ว ภายในงาน BIG Motor Sale 2019 ยังมีโซน “บิ๊กไบค์” สุดแรงจากหลากหลายค่าย รวมไปถึง Honda ที่ทั้งจำลองบรรยากาศร้าน CUB House The First Moto Lifestyle Café & Showroom สาขาศรีนครินทร์ พร้อมนำเข้าบิ๊กไบค์ส่งตรงจากญี่ปุ่น, รถจักรยานยนต์ทั้ง Commuter Bike และ Big Bike รวมถึงโปรฯ สุดแรงอีกเพียบที่ Sanook! Auto รวบรวมมาไว้ตรงนี้แล้ว จะมีอะไรบ้างไปดูกัน

1. Honda CBR500R บิ๊กไบค์สไตล์สปอร์ต กับโปรโมชั่นดาวน์เริ่มต้นเพียง 0 บาท พร้อมของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 35,000 บาท เลยทีเดียว

2. รับจองจักรยานยนต์สุดคลาสสิคในตำนานถึง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Honda Monkey และ Honda C125 ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Start by Us Finish by You ก่อนที่จะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2562 ที่จะถึงนี้

3. มอบคอร์สเรียนขับขี่บิ๊กไบค์อย่างปลอดภัยถึง 3 คอร์ส ไม่ว่าจะเป็น Basic Course, Skill Riding และ Advance Course ตลอดชีพ สำหรับผู้ที่จองจักรยานยนต์ Honda ภายในงาน เพื่อสนับสนุนความสำคัญของการขับขี่บิ๊กไบค์อย่างปลอดภัย

นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษอีกมากมายรอคุณอยู่ อีกทั้งใครอยากทดสอบการขับขี่ Honda CBR Series ทั้ง 150cc, 250RR, 500cc และ 650cc ก็สามารถติดต่อที่บูธได้ทุกวันตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 25 สิงหาคม 2562 ณ ไบเทค บางนา


ขอบคุณที่มาจาก : sanook.com

3
หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเกิดเหตุสลดใจ เมื่อ นายภัทร์นฤณ พงษ์ธนานิกร ลูกชายของ นายประเสริฐ พงษ์ธนานิกร หรือ ดีเจระย้า เจ้าของค่ายเพลงรถไฟดนตรี อีกทั้งยังเป็นญาติของนักแสดงสาว ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ BMW S 1000 R สีเหลือง-ดำ แล้วเกิดเสียหลักชนราวสะพานบนสะพานลอยข้ามแยกคลองตันจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ Sanook! Auto จึงขอหยิบเรื่องราวของบิ๊กไบค์รุ่นนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกสักครั้ง

ใครที่เป็นสายซูเปอร์ไบค์คงทราบกันดีว่า ตระกูล RR แห่ง BMW นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการปฏิวัติแห่งวงการซูเปอร์ไบค์สายสปอร์ต ทั้งยังได้รับการต่อยอดและพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งรุ่น S 1000 RR นั้นโดดเด่นด้วยระบบ DTC หรือ Dynamic Traction Control ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับความไดนามิกในการขับขี่อันน่าหลงใหล

S 1000 RR มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้กำลัง 199 แรงม้า หรือ 146 กิโลวัตต์ ที่ 13,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 10,500 รอบต่อนาที

ด้านท่อไอเสียเป็นแบบคู่ ช่วยเพิ่มแรงบิดให้ช่วงเครื่องยนต์รอบต่ำ รอบการชาร์จอันยอดเยี่ยม และมีการลดการไหลกลับของไอเสียเพื่อเพิ่มพละกำลัง ให้เสียงที่สาวกซูเปอร์ไบค์ได้ยินแล้วใจเต้น แถมยังอยู่ในมาตรฐานระดับเสียงรบกวนใหม่ และมาตรฐาน EU-4 ตามหลักสากล

ในขณะที่การออกแบบก็เท่ได้ใจ แผงควบคุมพร้อมเครื่องวัดความเร็วแบบอนาล็อกความละเอียดสูง ไม่ว่าคุณจะตั้งค่าแบบใดก็ให้การแสดงผลที่ชัดเจน ทราบข้อมูลการขับขี่อยู่ตลอดเวลา ด้านหน้ารถมีช่องแยกขนาดใหญ่สำหรับช่องทางอากาศเข้า กระจังข้างแบบฉบับเฉพาะตัว

ทั้งนี้ยังมีโหมดขับขี่ถึง 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็น “Rain”, “Sport” และ “Race” กับสภาพพื้นถนนที่แตกต่างกันไป ร่วมด้วย Gear Shift Assistant Pro เทคโนโลยีการเปลี่ยนเกียร์ที่สายกีฬามอเตอร์สปอร์ตคุ้นเคยเป็นอย่างดี เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกำคลัตช์ เรียกได้ว่าไม่ต้องละมือออกจากแฮนด์บาร์ ช่วยในเรื่องลดระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์นั่นเอง

BMW S 1000 RR มีทั้งหมด 4 สี ไม่ว่าจะเป็น สีเทา Granite Gray Metallic, สีดำ Black Storm Metallic, สีแดง Racing Red และ สีน้ำเงิน Lupin Blue Metallic ส่วนสายคัสตอมก็สามารถออกแบบรถในสไตล์คุณเองได้อีกด้วย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 840,000 บาท



ขอบคุณที่มาจาก : sanook.com

4
  กระแสโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ นอกจากจะปลุกความคึกคักในด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยแล้ว ยังปลุกกระแสคนรักรถ 2 ล้อระดับ “บิ๊กไบค์” สไตล์สปอร์ต ขึ้นมาอีกครั้ง และเชื่อว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ระดับ 500-1,000 ซีซี น่าจะกลับมาคึกคัก แต่ทราบหรือไม่ว่า “บิ๊กไบค์” กินน้ำมันแค่ไหน หากต้องขี่ใช้ในชีวิตประจำวัน

รถ “บิ๊กไบค์” เติม E20 ได้หรือไม่

     รถจักรยานยนต์ในยุคใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์หัวฉีดแทบจะทั้งหมด และหากไปดูสเปกของน้ำมันเชื้อเพลิงในคู่มือที่โรงงานกำหนดมาให้ รถแทบทุกรุ่นกำหนดให้สามารถเติมน้ำมันเบนซิน E20 ได้ อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ประจำโชว์รูมเอง ยังแนะนำให้ใช้ เบนซิน โซฮอลล์ 91 หรือ เบนซิน โซฮอลล์ 95 แทน

 ทั้งนี้ คนใช้รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์ตั้งแต่ 500 ซีซีขึ้นไป ส่วนใหญ่เลือกที่จะเติมเบนซิน โซฮอลล์ 95 เพื่อสมรรถนะที่ดีกว่า หรือบางคนขยับขึ้นไปเติมเบนซิน 95 เลยก็มีเช่นกัน อย่างไรก็ดี รถที่เติม E20 ตามสเปกจากโรงงานนั้น ก็ยังไม่เคยมีรายงานว่า เติมแล้วเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ฉะนั้นคำตอบคือ “บิ๊กไบค์” เติม E20 ได้แน่นอน

รถ “บิ๊กไบค์” กินน้ำมันแค่ไหน

     เรื่องปกติของการเผาไหม้ในระบบเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้น รถเครื่องยนต์ 500 ซีซี ย่อมกินน้ำมันมากกว่ารถ 150 ซีซี เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งอัตราค่าเฉลี่ยการซดน้ำมันของรถ “บิ๊กไบค์” จะอยู่ที่ราว 15-20 กิโมเมตร/ลิตร

 อย่างไรก็ดี ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบิดรถด้วยมือขวาของคุณว่า จะมือหนักบิดคันเร่ง และลากรอบสูงแค่ไหน เพราะธรรมชาติของรถในสไตล์สปอร์ตเรซซิ่งเชื่อว่า ทุกคนน่าจะอดใจไม่ได้หากได้ขึ้นไปขี่มัน ฉะนั้น ควรเข้าใจว่า ธรรมชาติของ “บิ๊กไบค์” ย่อมกินน้ำมันมากกว่ารถทั่วไป แต่จะกินมากหรือกินน้อยก็อยู่ที่ตัวคุณเอง

เช็คอัตราบริโภคน้ำมัน “บิ๊กไบค์” รุ่นยอดนิยม

– BMW S1000RR : 17 กิโลเมตร/ลิตร
– Ducati 1198 : 14 กิโลเมตร/ลิตร
– Honda CBR600RR : 21 กิโลเมตร/ลิตร
– HondaCBR1000RR : 19 กิโลเมตร/ลิตร
– KTM RC8R : 14 กิโลเมตร/ลิตร
– Kawasaki ZX10R : 16 กิโลเมตร/ลิตร
– Suzuki GSX-R600 : 20 กิโลเมตร/ลิตร
– Suzuki GSX-R1000 : 19 กิโลเมตร/ลิตร
– Yamaha YZF-R1M : 18 กิโลเมตร/ลิตร
– Yamaha YZF-R6 : 20 กิโลเมตร/ลิตร



ขอบคุณที่มาจาก : sanook.com

5
Bigbike คือคำที่ใช้เรียกรถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆไปหรือที่เรียกกันจนติดปากว่า สี่สูบ ขนาดของมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่ในที่นี้คือขนาดของเครื่องยนต์ เฟรม ล้อและยางของรถ รถที่เรียกว่าBigbikeจะมีความจุของเครื่องยนต์ตั้งแต่ 250 cc ขึ้นไปจนถึง 2400 cc ซึ่งในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีรูปแบบของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่แตกต่างกันออกไปซึ่งจะมีตั้งแต่สูบเดี่ยว ถึง 6 สูบ และจัดวางอยู่ในรูปแบบของสูบเรียงและสูบV ในส่วนระบบส่งกำลังก็จะมีตั้งแต่ระบบที่ใช้โซ่ ใช้เพลาขับ และใช้สายพาน เป็นต้น

Naked Bike เป็นชื่อที่ใช้เรียกรถ Bigbike ที่มีรูปแบบเป็นรถเปลือยแฟริ่งในส่วนด้านหน้า จะมีแฟริ่งในส่วนด้านท้ายของรถเท่านั้น ข้อดีของรถประเภทนี้คือสามารถใช้ขับขี่ในเขตชุมชนที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นได้ง่ายและสามารถระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้ดีกว่ารถ Bigbikeประเภทอื่นๆ และยังมีการออกแบบให้มีท่วงท่าในการขับขี่ที่ไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจับแฮนด์มากนัก โดยมีการออกแบบให้แฮนด์อยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงและมีเบาะที่ต่ำกว่ารถ Sport Bike

Sport Bike คือรถBigbikeที่มีการออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันทางเรียบเนื่องจากรถประเภทนี้จะมีสมรรถนะของเครื่องยนต์และช่วงล่างสูงมากกว่ารถBigbikeประเภทอื่นๆ ซึ่งรถประเภทนี้มีท่วงท่าในการขับขี่แบบกึ่งนั่งกึ่งหมอบเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและทรงตัวในการใช้ความเร็วสูงๆและควบคุมอาการของรถในการเข้าโค้งได้เต็มประสิทธิภาพ

Touring BikeคือรถBigbikeประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในการเดินทางหรือท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลๆและใช้เวลาในการขับขี่ค่อนข้างนานโดยเฉพาะ ซึ่งรถประเภทนี้จะมีรูปทรงคล้ายกับรถ Sport Bike แต่จะมีตำแหน่งของแฮนด์ที่สูงกว่ารถSport Bike ท่าทางในการขับขี่จะคล้ายกับการขี่รถNaked Bike และรถ Touring Bikeนี้จะมีชิวล์ที่มีขนาดใหญ่เพื่อใช้บังลมและฝนที่จะเข้ามาปะทะผู้ขับขี่ในตอนที่ใช้ความเร็วสูงๆหรือขณะมีฝนตก

ชอปเปอร์ (อังกฤษ: chopper) คือรถBigbikeประเภทหนึ่ง เพราะเสียงของเครื่องยนต์ของรถประเภทนี้มีเสียงดังเป็นจังหวะๆ คล้ายเสียงของเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง สาเหตุที่เสียงของรถ Chopper Bike มีเสียงดังเป็นจังหวะอย่างที่เคยได้ยินเพราะรถประเภทนี้มี 2สูบวางอยู่เป็นรูปตัว V และยังมีการจุดระเบิดพร้อมๆกัน จึงมีช่วงขอบเสียงเครื่องยนต์ดังเป็นจังหวะดังกล่าว รถประเภทนี้จะมีการออกแบบให้มีเบาะอยู่ต่ำกว่ารถ Bigbikeประเภทอื่น และมีตำแหน่งของแฮนด์ที่สูงอยู่ในระดับไหล่ผู้ขับขี่หรืออาจจะสูงกว่าแล้วแต่ผู้ขับขี่จะเลือกมาใส่



ขอบคุณที่มาจาก : bikeemotion.wordpress.com


6
ออกรถ Big Bike ต้องรู้อะไรบ้าง

สำหรับสิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งหลายที่ชื่นชอบรถมอเตอร์ไซค์ คงหนีไม่พ้นกับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่จะต้องมีให้ได้ในชีวิต ดังนั้นก่อน ออกรถ Big Bike ต้องรู้อะไรบ้าง จึงเป็นคำถามที่สิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งหลายอยากรู้

วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลในการออกรถ Big Bike ต้องรู้อะไรบ้าง นั้นมาฝากกัน เพราะถ้าหากทำตามจะเป็นการดีและสิ่งที่ปลอดภัยกับคุณเป็นอย่างมาก เพราะการออกรถบิ๊กไบค์ไม่ได้เหมือนรถมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ ทั่วไปที่แม้แต่เด็กวัยรุ่นก็ขับได้

ด้วยทุกวันนี้ปัญหารถติดเป็นปัญหาที่หลีกหนีไม่ได้เลยในการสัญจรแต่ละวัน การเลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ รวมไปถึงการเลือกซื้อรถบิ๊กไบค์ สำหรับผู้ที่สนใจจะซื้อรถมอเตอร์ไซคบิ๊กไบค์นั้น ก่อนอื่นเราต้องมารู้การเตรียมตัวก่อนซื้อรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ให้ดี เพื่อความปลอดภัยและการเลือกซื้อที่คุ้มค่าตรงกับความต้องการให้มากที่สุด

1. เข้าคอร์สอบรมการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ BigBike
โดยส่วนใหญ่ผู้ที่กำลังเลือกขับรถบิ๊กไบค์ มาจากคนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์เล็กมาก่อนและต้องการขยับอัพเกรด CC ขึ้น หรือ ชอบรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เป็นพิเศษ แด่ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ขอแนะนำให้ทุกคนที่ต้องการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ควรเข้าคอร์สอบรมการขับขี่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อย่างจริงจัง

เพราะรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เป็นรถขนาดเครื่องยนต์ 250CC ที่มีตัวถังน้ำมันอยู่ด้านหน้า รวมถึงระบบเกียร์แบบมีคลัช เพื่อให้คุณคุ้นชินกับการใช้รถขนาดใหญ่ มีความมั่นใจในการขับขี่บนท้องถนนของคุณโดยคุณจะได้รับการสอนที่สามารถใช้งานได้จริง การใช้รถมอเตอร์ไซด์อย่างถูกวิธี เพื่อรักษาการทำงานของเครื่องยนต์ใช้งานที่นานขึ้น

2. เลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่ขนาดพอดีกับสรีระ
ก่อนตัดสินใจซื้อบิ๊กไบค์ แนะนำให้คุณพิจารณาจากขนาดเครื่องยนต์อยู่ในช่วง 150 CC – 400 CC โดยพิจารณาจากการควบคุมรถเป็นสำคัญ เพราะตัวถังรถบิ๊กไบค์ค่อนข้างใหญ่ สรีระเราอาจจะไม่เหมาะกับรถขนาดใหญ่ นอกจากน้ำหนักตัวรถที่หนักแล้วยังตัวถังใหญ่จึงทำให้ควบคุมลำบากหากไม่คุ้นเคยมาก่อน ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกขนาดรถบิ๊กไบค์ให้เหมาะกับคุณมากที่สุด

3. ศึกษารถบิ๊กไบค์ที่คุณชื่นชอบ
ตลาดรถบิ๊กไบค์มีหลากหลายรุ่นหลายโมเดลมาก ซึ่งรุ่นของบิ๊กไบค์จะแบ่งออกเป็นหลัก ๆ คือ Sport Bike, Naked Bike, Touring Bike, Cruiser Biker ซึ่งแต่ละโมเดลก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างกัน

Sport Bike – สำหรับชาวสองล้อที่ชื่นชอบความเร็ว ทรงโมเดลนี้นับเป็นโมเดลที่คนส่วนใหญ่ชอบ ทั้งรูปทรงรถบิ๊กไบค์ที่โฉบเฉี่ยว ท่านั่งคนขับที่เท่ห์และดุดัน เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
Naked Bike – ทรงโมเดลนี้ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ใช้งานรถบิ๊กไบค์ในเมือง ทั้งขนาดตัวถังที่ไม่ใหญ่จนเทอะทะ ทำให้การขับขี่มุดซิกแซกในเมืองได้อย่างคล่องตัว
Touring Bike – รถบิ๊กไบค์ที่ถูกออกอบบมาสำหรับการออกทริป การเดินทางต่างจังหวัด การดีไซน์ความสูงของเบาะกับแฮนด์ทำให้ท่านั่งโมเดลนี้สะดวกสบายได้อย่างเหลือเชื่อ
Cruiser Bike – สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในความคลาสิก ความเท่ห์แบบรุ่นเก่าที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างกว้างขวาง ทั้งการใช้งานในเมือง ออกทริปต่างจังหวัด รวมทั้งความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์

4. ค้นหาร้านขายรถบิ๊กไบค์ และศูนย์บริการที่ใกล้บ้าน
หากเราได้ซื้อรถบิ๊กไบค์จากศูนย์ที่ใกล้บ้านเรา ก็จะทำให้เราสะดวกสบายเรื่องการเดินทางไปเช็คระยะต่าง ๆ รวมถึงการซ่อมแซม การบำรุงรักษาต่าง ๆ และหากทางศูนย์มีบริการที่ดี ใช้อะไหล่แท้ ก็จะทำให้เราเบาใจได้เมื่อต้องซื้อรถบิ๊กไบค์ที่มีราคาแพง

5. ศึกษารายละเอียดประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ให้ชัดเจน
โดยทั่วไปทางตัวแทนจำหน่ายรถบิ๊กไบค์ย่อมมีการทำประกันอุบัติเหตุควบคู่ไปกับการซื้อรถบิ๊กไบค์อยู่แล้ว ดังนั้นการเลือกประกันอุบัติเหตุที่ครอบคลุมการใช้งานเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงสาขาที่บริษัทประกันให้บริการ เนื่องจากบางครั้งหากเราเกิดอุบัติเหตุในเขตต่างจังหวัด หากบริษัทประกันไม่มีพนักงานดูแลอย่างทั่วถึง เราจะเสียผลประโยชน์ได้

6. เตรียมเงินเผื่อไว้สำหรับซื้ออุปกรณ์ป้องกันในการขับขี่รถบิ๊กไบค์
สิ่งสำคัญคงหนีไม่พ้นอุปกรณ์การป้องกันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหมวกกันน็อค ถุงมือขี่มอเตอร์ไซค์ เสื้อการ์ด รองเท้ามอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งกางเกงยีนมอเตอร์ไซค์ที่มีการ์ดป้องกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะเนื่องจากการใช้รถบิ๊กไบค์นั้งทั้งน้ำหนักมาก ความเร็วในการขับขี่สูง หากเกิดอุบัติเหตุอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้เราปลอดภัยหรือเจ็บตัวน้อยลง

นับว่าการขี่รถบิ๊กไบค์เป็นประสบการณ์ที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะสิงห์นักบิดทั้งหลายที่ชอบความเร็วและหลงรักในรถบิ๊กไบค์ ทั้งความอิสระในการขับขี่ ความแรงของเครื่องยนต์ และแน่นอนว่าเมื่อเราได้เลือกรถบิ๊กไบค์คู่ใจเราแล้ว การเคารพกฎจราจร การมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมถนน เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้อุบัติเหตุลดน้อยลง



ขอบคุณที่มาจาก : easyinsure.co.th


7
ใครที่มีบิ๊กไบค์แล้ว การบำรุงรักษาบิ๊กไบค์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในการยืดอายุการใช้งาน และทำให้การขับขี่บิ๊กไบค์ของคุณนั้นปลอดภัยขึ้น แต่เราจะมีวิธีในการดูแลรักษาอย่างไรเดี๋ยวมาดูกันเลยครับว่าต้องดูแลอะไรอย่างไรบ้าง

เทคนิคการบำรุงรักษา Bigbike

1.ดูแลรักษาเครื่องยนต์และส่วนต่างของบิ๊กไบค์ให้มีประสิทธิภาพและสะอาดอยู่เสมอ เช็คการทำงานของเครื่องยนต์ว่าปกติหรือไม่ทุกครั้งที่ใช้ พร้อมทั้งทำความสะอาดในส่วนต่างๆของ Bigbike ให้สะอาดไร้สิ่งสกปรก

2.ตรวจเช็คและเปลี่ยนไส้กรองอากาศ โดยการเข้ารับการตรวจเช็คจากศูนย์หรือผู้ให้บริการด้านบิ๊กไบค์ ทุกระยะทาง 5,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งเปลี่ยนไส้กรองทุกระยะทาง 10,000 กิโลเมตร

3.ทำความสะอาดหัวเทียน และตรวจเช็คความสมบูรณ์ของเขี้ยวหัวเทียนให้เรียบร้อย โดยต้องทำการตรวจเช็คหัวเทียนทุกๆระยะทาง 5,000 กิโลเมตร และควรได้รับการเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ ในระยะทาง 10,000 กิโลเมตร

4.ตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ โดย ทำการตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องเมื่อวิ่งได้ในทุกๆระยะทาง 100 กิโลเมตร และทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับบิ๊กไบค์ทุกๆ 2,500 กิโลเมตร

5.ทำการเปลี่ยนไส้กรองของน้ำมันเครื่อง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของ Bigbike ที่ดีขึ้น โดยต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง เมื่อวิ่งมาได้แล้วในระยะทางประมาณ ทุกๆ 2,500 กิโลเมตรเป็นต้นไป

6.ตรวจเช็คท่อทางเดินน้ำมันเชื้อเพลิงว่า มีรอยฉีกขาดหรือมีความกรอบแตกหรือไม่ โดยควรทำการตรวจเช็คท่อทางเดินน้ำมันเชื้อเพลิงทุกๆระยะทาง 5,000 กิโลเมตร และควรทำการเปลี่ยนท่อทางเดินน้ำมันเครื่องทุกๆ 20,000 กิโลเมตร

7.ตรวจเช็คระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ว่ามีรอยฉีกขาดของแว็คคั่มหรือไม่ และมีอาการกรอบแตกหรือไม่ โดยทำการตรวจเช็คระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงๆ ทุกเวลาที่มีระยะการวิ่งถึง 5,000 กิโลเมตร และทำการเปลี่ยนระบบส่งเชื้อเพลิงทุกครั้งเมื่อมีการวิ่งถึงระยะทาง 20,000 กิโลเมตร

8.เช็คคาร์บูเรเตอร์ของบิ๊กไบค์ ให้มีความปกติ โดยทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์ ทุกๆระยะทาง 15,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งตรวจเช็คยางปากคาร์บูเรเตอร์ว่ามีสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ มีอาการกรอบแตกหรือมีรอยฉีกขาดของยางปากคาร์บูเรเตอร์หรือไม่ โดยควรทำการตรวจเช็คยางปากคาร์บูเรเตอร์บิ๊กไบค์ทุกๆ ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร และทำการเปลี่ยนยางปากคาร์บูเรเตอร์บิ๊กไบค์ทุกๆระยะ ซึ่งอาจจะเกิดความเสียหายช้าหรือเร็วแล้วแต่การใช้งานและอายุการใช้งาน

9.เช็คระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ โดยสามารถเข้ารับการตรวจเช็คระดับน้ำของบิ๊กไบค์ว่าปกติดีหรือไม่ เมื่อวิ่งครบทุกๆระยะทาง 100 กิโลเมตร และทำการเปลี่ยนระบบระบายความร้อนด้วยน้ำทุกๆระยะทาง 20,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งทำการตรวจเช็คท่อทางเดิน และฝาหม้อน้ำให้ดีอยู่เสมอ พร้อมทั้งตรวจเช็คว่ามีตะกอนในหม้อพักหรือไม่ ซึ่งสามารถทำการตรวจเช็ค ท่อทางเดินบิ๊กไบค์ ฝาหม้อน้ำบิ๊กไบค์ และตะกอนในหม้อพักบิ๊กไบค์ได้ในทุกๆระยะทาง 5,000 กิโลเมตร

10.ตรวจเช็คระบบระบบความร้อยด้วยน้ำมันของ Bigbike พร้อมทั้งทำการตรวจท่อทางเดินน้ำมันของบิ๊กไบค์ โดยสามารถเข้ารับการเช็คระบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันและท่อทางเดินน้ำมันของบิ๊กไบค์ได้ทุกๆระยะทาง 2,500 กิโลเมตร

11.ทำการตรวจเช็คระยะห่างของวาล์ว สำหรับบิ๊กไบค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 250 ซีซี ถึง 399ซีซี โดยสามารถทำการตรวจเช็คได้ในทุกๆระยะทาง 10,000-15,000 กิโลเมตร , สำหรับบิ๊กไบค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 400 ซีซี ถึง 749 ซีซี สามารถทำการตรวจเช็คได้ในทุกๆระยะทาง 15,000-17,000 กิโลเมตร , บิ๊กไบค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 750 ซีซี ถึง 999 ซีซี สามารถทำการตรวจเช็คได้ในทุกๆระยะทาง 17,000-26,000 กิโลเมตร , สำหรับบิ๊กไบค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,000 ซีซี ขึ้นไป สามารถทำการตรวจเช็คได้ในทุกๆระยะทาง 28,000 กิโลเมตร

12.ทำการตรวจเช็คระบบตัดต่อส่งกำลังของบิ๊กไบค์ ระบบคลัทช์ โดยทำการตรวจเช็คฟรีคลัทช์ ทุกๆระยะการขับขี่ที่ 5,000 กิโลเมตร พร้อมทั้ง ทำการตรวจเช็คแผ่นคลัทช์ได้ในทุกๆระยะทางง 20,000 กิโลเมตร

13.ตรวจเช็คระบบส่งกำลังของบิ๊กไบค์ เช็คการทำงานของบิ๊กไบค์ที่มีการใช้เพลา และดูแลความพร้อมของน้ำมันเฟืองท้าย เกรดดับเบิ้ลยู 90 ของบิ๊กไบค์ โดยสามารถเข้ารับการตรวจเช็คได้ในทุกๆระยะทาง 5,000 กิโลเมตร และเข้ารับการเปลี่ยน ระบบส่งกำลัง เปลี่ยนเพลา เปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย ได้ในทุกๆระยะ 10,000 กิโลเมตร

14.เช็คความพร้อมของโซ่บิ๊กไบค์ และตรวจเช็คความตึงหย่อนของโซ่ พร้อมทั้ง ดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ หรือเข้ารับการดูแลทำความสะอาดโซ่บิ๊กไบค์ทุกๆระยะทาง 500 กืโลเมตร และทำการเช็คระบบหล่อลื่นของโซ่บิ๊กไบค์ด้วยน้ำมันเฉพาะทุกๆ ระยะทาง 300 กิโลเมตร นอกจากนี้ ต้องทำการเช็คสเตอร์ของบิ๊กไบค์ให้ดี ทั้งสเตอร์หน้าและหลัง ในทุกๆระยะทาการขับขี่ 1,500 กิโลเมตร

และนี่ก็คือเทคนิคเบื้องต้นในการดูแลรักษา Bigbike ของคุณให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีในทุกครั้งที่ขับขี่ แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น หากคุณใช้เทคนิคการบำรุงรักษาบิ๊กไบค์ ให้ใช้งานได้อย่างยาวนานด้วยวิธีดังกล่าว รับรองว่าคุณจะสามารถใช้งาน Bigbike คันโปรดของคุณไปอีกเนิ่นนาน



ขอบคุณที่มาจาก : th-bigbike.com

8
สวัสดีค่ะ!! หากพูดถึงเรื่องความปลอดภัยแน่นอนว่าในชีวิตคนเราต้องมาเป็นอันดับแรก ทั้งตัวเองและคนที่เรารัก เพื่อป้องกันการสูญเสีย โดยเฉพาะความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเลยเมื่อถึงเทศกาลวันหยุดต่างๆปัญหาอุบัติเหตุเกิดขึ้นเยอะมาก เพราะช่วงดังนั้นถือเป็นการเทศกาลท่องเที่ยวเดินทาง แต่จะดีกว่าไหมถ้าขับขี่กันอย่างมีสติ และ ปลอดภัย ทั้งตัวคน เพื่อร่วมทาง และผู้โดยสารที่มาด้วย เพราะฉะนั้นแล้วการเลือกทำประกันประกันรถยนต์ถือเป็นตัวเลือกที่ดี

บิ๊กไบค์ร้อนเกินไป ทำไงดี ?
การทำประกันรถยนต์ ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะมาคอยคุ้มครองพร้อมสร้างความอุ่นใจให้กับเรา หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เราจะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันอย่างเช่น ค่ารักษา ค่ายา ค่าโรงพบาบาล หรือ ค่าชดเชยต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับแบบกรมธรรม์ที่ได้เลือกซื้อไว้ ปัญหา! เครื่องยนต์บิ๊กไบค์ร้อนแก้ไขอย่างไร ? หลายคนอาจจะคิดว่าปัญหารถบิ๊กไบค์ร้อนแก้ไขได้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ดับรถเท่านั้น นั้นก็จริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะปัญหาเครื่องร้อนของรถสามารถบ่งบอกอะไรมากมาย แถมยังมีวิธีการแก้ไขมากมายอีกด้วย

*การดับเครื่อง*
แน่นอนว่าการดับเครื่องเป็นขั้นตอนแรกที่ผู้ขับรถบิ๊กไบค์ทำ เพราะสาเหตุที่รถบิ๊กไบค์ร้อนเกินไปอาจเกิดจากที่เรามีการขับขี่บนเส้นทางที่ไกลเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นควรจอดพักดับเครื่อง ให้เย็นก่อนที่จะมีการขับต่อ

*ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ*
หากคุณมีการเดินทางบ่อยๆ หรือ ในระยะทางที่ไกล หากในช่วงที่มีรถติด ให้คุณเปลี่ยนมาเป็นรอบเครื่องให้ต่ำเท่าที่จะทำได้  เพื่อป้องกันเครื่องร้อน พร้อมทั้งให้ใช้ความเร็วเครื่องยนต์กับตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสม

*หาสถานที่โล่ง ๆ*
หากรถยนต์มีเครื่องยนต์ที่ร้อน ควรที่จะหยุดจอดรถโดยหาพื้นที่โล่งๆและมีอากาศพัดผ่านสะดวก แต่อย่าลืมหาจุดจอดรถที่ปลอดภัยและถูกกฎจราจร

เพราะการขับขี่รถถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วอย่ารอช้าควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์เพื่อความได้รับความคุ้มครอง พร้อมทั้งลดความเสี่ยงต่างๆ แต่อย่าลืมที่จะเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางเพื่อความปอดภัยของตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทาง ปัญหา! เครื่องยนต์บิ๊กไบค์ร้อนแก้ไขอย่างไร ? อย่าลืมหากเกิดปัญหาดังกล่าวห้ามขับต่อ



ขอบคุณที่มาจาก ๅ: promotions.co.th


9
สารพันปัญหารถ / 10 จุดควรเช็ค ก่อนออกทริป
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2019, 12:42:15 PM »
10 จุดควรเช็ค ก่อนออกทริป สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมก่อนการออกเดินทางที่นอกจากเตรียมความพร้อมของผู้ขับขี่แล้วที่สำคัญไม่แพ้กันคือการตรวจเช็คสภาพของรถจักรยานยนต์ของเรานั่นเอง เพื่อป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างทางอันเนื่องมาจากการขาดความพร้อมของรถ และ รถไม่พร้อมสำหรับการใช้งาน เพื่อป้องกันเหตุเหล่านี้เรามาดูขันตอนการตรวจเช็ครถกันเลยดีกว่าว่าควรเช็คเกี่ยวกับอะไรบ้าง


1.เช็คสัญญาณไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และ แตรให้ใช้งานได้ปกติ
สัญญาณไฟถือว่ามีความจำเป็นมากสำหรับการออกทริป ไม่ใช่แค่ใช้เป็นไฟส่องสว่างได้ในตอนกลางคืนอย่างเดียว แต่ สัญญาณไฟต่าง ๆ ยังสามารถใช้เเป็นสัญลักษณ์บอกเหตุต่าง ๆ ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ก่อนออกทริปหรือออกเดินทางทุกครั้ง ควรตรวจเช็คสัญญาณไฟว่ามีไฟตรงส่วนไหนติดหรือไม่ติดบ้าง เพราะมันจำเป็นมาก ๆ เลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ไฟ ยังมีแตรที่ยังจำเป็นอีกด้วย เพราะช่วยเตือนอะไรหลาย ๆ อย่างได้ดีแน่นอน

2.ลองระบบแบรกรถทั้งหน้า และ หลังเช็คระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่กำหนด
นี้ก็เป็นอีกส่วนที่จำเป็นสุด ๆ ในส่วนที่ต้องตรวจเช็คให้ดีก่อนออกเดินทาง เพราะเบรกนี้มีประโยชน์มาก ๆ ในการหยุดรถ เพราะฉะนั้นก่อนออกทริป ออกเดินทางทุกครั้ง อย่าลืมตรวจเช็คให้ดีก่อนนะครับทุก ๆ ท่าน เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและคนรอบข้าง

3.เช็คระยะฟรีครัชท์ดูว่าเมื่อบีบ และ เข้าเกยร์ได้นุ่มนวนหรือไม่
เป็นอีกส่วนที่ถือว่าสำคัญเหมือนกันสำหรับรถที่ต้องใช้ครัชท์

4.เช็คโซ่ ไม่ตึงหือย่อนจนเกินไป 25-30 มม.
โซ่นี้ก็เป็นอีกส่วนที่ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะโซ่นี้ก็สามารถทำให้เราเกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลย เพราะฉะนั้น ส่วนนี้จึงจำเป็นสุด ๆ ที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีอะไรผิดปกติหรือป่าว และ ควรเช็คอยู่สม่ำเสมอ

5.เช็คสภาพยาง ลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
ยางนี้ก็สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ เพราะถ้าเกิดยางมีปัญหาขึ้นมา อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และ อาจอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ส่วนนี้ควรเช็คอยู่เสมอ ๆ เลยละครับ

6.เช็คระดับน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับปกติ
ส่วนสำคัญเลย ถ้าขาดส่วนนี้ไปอาจทำให้เครื่องยนต์ของรถบิ๊กไบค์คู่ใจของเรานั้น พัง และ เสียหายได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การเช็คน้ำมันเครื่อง เป็นสิ่งที่ควรทำอันดับต้นๆ เลยทีเดียว

7.เช็คระดับของน้ำมันหล่อเย็นที่ถังพักให้ได้ระดับที่กำหนด
น้ำมันหล่อเย็นก็ควรจะตรวจเช็คเหมือนกัน อาจจะไม่ได้ตรวจเป็นประจำ แต่ก็ควรตรวจสอบให้ดีอยู่เสมอ

8.เช็คน็อตขันน็อตให้แน่นทุกตัว
ในส่วนนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นอีกส่วนเช่นกัน เพราะถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งน็อตหลุดออกไป อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เช่นกัน

9.เติมน้ำมันเต็มถัง
ยนี้ก็เป็นส่วนที่สำคัญ เพราะถ้าไม่มีน้ำมัน รถคงวิ่งออกทริปไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ป้องกันการที่น้ำมันหมดกลางทาง เราก็ควรเติมไปให้เต็มถังสะเลย

10.สำคัญสุดคือเช็คตัวผู้ขับขี่เองให้พร้อม
สิ่งที่สำคัญสิ่งสุดท้าย และ เป็นสิ่งที่ต้องตรวจให้ดี เพราะส่วนนี้คือสภาพร่างกายของตัวเราเอง ว่าเรามีสภาพจิตใจเป็นยังไง เพราะถ้าร่างกายไม่พร้อมแน่นอนอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ



ขอบคุณที่มาจาก : bigbikeinfo.com







10
สำหรับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์นอกจากสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ดีแล้ว การเบรคหรือ วิธีเบรคบิ๊กไบค์ ในเวลาฉุกเฉินหรือกะทันหันที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากสำหรับรถที่จักรยานยต์บิ๊กไบค์ขณะใช้ความเร็วสูงอยู่ ซึ่งหาใช้เบครที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้ผู้ขับขี่บิ๊กไบค์เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะเบรคได้ ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่ขาดทักษะในการใช้เบรคในเวลาฉุกเฉิน วันที่ทางเว็บไซต์ bigbikeinfo.com จะพาทุกท่านที่ยังไม่ทราบทักษะการเบรคในเวลาฉุกเฉินได้ทราบถึงวิธีและเคล็ดลับสำหรับการใช้เบรคในบทความนี้กัน

วิธีเบรคบิ๊กไบค์ เทคนิคการหยุดรถกะทันหันในเวลาฉุกเฉิน

ในปัจจุบันมีผู้ขับขี่บิ๊กไบค์เป็นจำนวนมาก แต่มีบางคนอาจจะยังขาดทักษะสำหรับการเบรคที่ถูกวิธี และการเบรคในเวลาที่ใช้ความเร็วหรือการเบรคกะทันหัน ส่งผลให้ในปัจจุบันมีข่าวเกี่ยวกับผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ที่ประสบอุบัติเหตุจากการตัดหน้าหรือชนท้ายรถคันข้างหน้าเป็นประจำ วันที่เราจะมาแนะนำและสอนวิธีการเบรครถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ของคุณให้เบรคสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิ์ภาพ

1.คืนคันเร่งให้หมดเวลาเบรค เวลาเบรคกะทันหันสิ่งแรกที่ควรทำคือการคืนคันเร่งให้หมดเพื่อทำให้ Engine Brake ทำงาน โดย Engine Brake ก็คือแรงฉุดของเครื่องยนต์ที่เกิดจากการปิดคันเร่ง ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเวลาที่เราขับรถด้วยเกียร์ 1 หากทำการเปิดคันเร่งรถของเราจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ และหากเราปิดคันเร่งจนหมดรถจะอืดและผู้ขับขี่จะรู้สึกถึงความหน่วงของรถพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์

2.เวลาเบรคกะทันหันห้ามกำคลัทช์ สำหรับคนส่วนใหญ่เวลาเบรคมักจะกำคลัทช์กันเสมอ เพราะเป็นความเคยชินเมื่อขับรถช้าๆ หรือกำลังติดไฟแดงจะชอบกำคลัทช์ก่อนเบรคทุกครั้งเพราะกลัวรถดับ แต่ในเวลาที่ท่านกำลังขับมาด้วยความเร็วหากท่านกำคลัทช์พร้อมกับการกำเบรคมันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการเบรครถลง ส่งผลให้รถของผู้ขับขี่ที่ขับมาด้วยความเร็วลื่นไถลล้อหลังล็อคและอาจหยุดรถไม่ทันหรือเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ในเวลาเบรคห้ามกำคลัทช์โดยเด็ดขาด

3.ใช้เบรคหลังเพื่อลดความเร็วก่อนการใช้เบรคหน้า การเบรคที่ถูกวิธีอันดับต่อมาหลังจากการปิดคันเร่งจนหมด ไม่กำคลัทช์เพื่อทำให้ Engine Brake ทำงานเต็มที่และต่อมาควรใช้เบรคหลังก่อนเบรคหน้าเพื่อทำการหยุดรถ และหลังจากนั้นจึงค่อยใช้เบรคหน้าเพื่อการหยุดรถที่สมบรูณ์แบบในเวลาที่พบเจอกับเหตุการฉุกเฉินหรือกะทันหัน ซึ่งการหยุดรถแบบนี้จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถหยุดรถได้


ขอบคุณที่มาจาก : bigbikeinfo.com


11
อุปกรณ์การทำงานของชิ้นส่วนในรถมอเตอร์ไซค์มีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพ โดยแต่ละอย่างมักจะเสียหรือเริ่มมีอาการเตือนผู้ขับให้รู้เป็นระยะ แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ทำงานเอาซะดื้อๆ เลยก็มี เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีความรู้เบื้องต้น และรู้อาการเตือนเหล่านั้นเอาไว้บ้างก็ดีนะครับ เพื่อความปลอดภัย และสามารถวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายให้เพียงพออีกด้วย

1.   สตาร์ตติดยาก
เมื่อสตาร์ตเครื่อง จะมีอาการเหมือนสตาร์ตติด แต่ก็สำลักดับไป หรือติดอยู่สักพักก็ดับ หรือไม่ติดเลย บางครั้งกดปุ่มสตาร์ตก็ไม่มีเสียงการหมุนของเครื่องยนต์ (กรณีสตาร์ตไฟฟ้า) ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จาก
ระบบเชื้อเพลิง : เชื้อเพลิงอาจเหลือแค่ระดับก้นถัง ไม่พอที่จะไหลลงระบบฉีดน้ำมัน, รั่วซึมทำให้แรงดันตก (กรณีเป็นระบบหัวฉีด), น้ำมันท่วมหรือหนาเกินไป (กรณีเป็นคาร์บูเรเตอร์), ไส้กรองเชื้อเพลิงอุดตัน/สกปรก, น้ำมันผิดประเภท/ไม่สะอาด, ระบบหัวฉีดหรือนมหนูคาร์บูเรเตอร์จ่ายน้ำมันอุดตัน, เครื่องมีอุณหภูมิต่ำเกินไป เป็นต้น
ระบบไฟ : อาจเกิดจากหัวเทียนสกปรก, สายหัวเทียนชำรุด, ระบบจานจ่ายชำรุด, มอเตอร์สตาร์ตกำลังไม่พอ (ระบบสตาร์ตไฟฟ้า) เป็นต้น
วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า : สตาร์ตด้วยเท้าให้เว้นระยะแล้วค่อยลองอีกครั้ง อาจต้องทำบ่อยให้เครื่องวอร์มจากอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป (ระบบสตาร์ตไฟฟ้าไม่ควรกดสตาร์ตแช่นานเกินไปเพราะแบตเตอรี่อาจหมด) ตวรจระดับน้ำมันในถัง, อาจใช้วิธีเขย่ารถช่วยในกรณีที่มีอุปกรณ์บางอย่างเกี่ยวกับน้ำมันเชิ้อเพลิงอุดตัน เป็นต้น และรีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อมทันที

2.   กลิ่นและควัน
ให้ลองสังเกตกลิ่นแปลกๆ ที่ลอยมาในส่วนต่างๆ ของรถว่าผิดปกติหรือไม่ เช่น กลิ่นไหม้, กลิ่นน้ำมันเบนซิน เป็นต้น ซึ่งอาจมีระบบไฟฟ้าลัดวงจรในบางจุด หรือเกิดการรั่วซึมของระบบท่อทางเดินของน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนควันมักจะมาพร้อมกับกลิ่น เช่น เมื่อมีจุดที่ไฟฟ้าลัดวงจรมักจะมีควันลอยตามมาด้วย หากเป็นเช่นนี้ยิ่งง่ายต่อการตรวจเช็คด้วยตาเปล่า จากจุดที่ควันนั้นลอยออกมาครับ
วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า : จอดในที่ปลอดภัยและดับเครื่องยนต์ทันที รีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อม และในระหว่างรอให้หาจุดที่มีควันให้เจอเพื่อระงับเปลวไฟหรือชิ้นส่วนต่างๆ ที่อาจเกิดการลุกไหม้ได้ หากพอมีความรู้เรื่องช่างอยู่บ้าง ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกไว้ก่อนครับ

3.   แฮนด์หนัก ล้อแกว่ง
เมื่อขับอยู่จะรู้สึกว่าต้องออกแรงในการดึงแฮนด์ให้ตรงมากกว่าปกติ เช่น ต้องออกแรงดันแฮนด์ไปทางขวาจนรู้สึกเมื่อยล้า อาจเป็นเพราะศูนย์ของตัวรถ (ล้อหน้า/หลังไม่ได้ศูนย์) หรือแฮนด์ล้อหน้าเอียงซ้ายมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการเมื่อยล้า นอกจากนี้ อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เมื่อขับผ่านอุปสรรคต่างๆ อย่างรวดเร็วจนทำให้บังคับแฮนด์ไม่สะดวก สาเหตุอาจเกิดจากขับผ่านถนนที่สภาพเป็นหลุมบ่อด้วยความเร็วสูงบ่อยๆ, รถล้ม, แฮนด์คด หรือบรรทุกหนักเกินไป เป็นต้น
ส่วนอาการ "แกว่ง" นั้น เมื่อใช้ความสูงๆ รถจะสะเทือนสั่นเป็นเจ้าเข้า สาเหตุอาจเกิดจากวงล้อที่ "คด" หรือบิดเบี้ยวไม่กลมทำให้เมื่อหมุนแล้วไม่สมดุล จึงเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น 
วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า : ใช้ความเร็วต่ำและรีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อมเพื่อตรวจเช็คอาการอย่างละเอียดพร้อมแก้ไขซ่อมแซมให้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด

4.   กระเด้งกระดอน
อาการกระเด้งกระดอนนี้ เกิดจากระบบกันสะเทือนที่ชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพ อาการที่เกิดขึ้นคือ รถจะกระเทือนเมื่อตัวรถมีช่วงยุบมากเกินไปจน "โช้กยัน" หรือตัวรถกระเด้งขึ้น-ลงมากผิดปกติ สาเหตุอาจเกิดจากหลายกรณี เช่น โช้กแตก/รั่ว, แกนโช้ก "คด/งอ"  เป็นต้น ซึ่งจะมีผลให้การควบคุมรถทำได้แย่ลง โดยเฉพาะเมื่อขับผ่านเนินหรือคอสะพาน รถอาจจะยุบตัวจนใต้ท้องกระแทกพื้นได้ และยังส่งผลเมื่อต้องการขับผ่านทางโค้งอีกด้วย ให้สังเกตรอย, คราบของเหลว (น้ำมันโช้ก) ที่ส่วนแกนโช้ก หรือรอยหยดที่ตัวกระบอกโช้กว่ามีหรือไม่
วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า : ขับด้วยความระมัดระวัง ใช้ความเร็วต่ำ และรีบนำรถเข้าตรวจเช็คระบบช่วงล่าง เช่น เปลี่ยนโช้ก, สปริง, อัดน้ำมันแก้ไขจุดที่รั่วใหม่

5.   เร่งสะดุด
อาการนี้ดูเหมือนจะเบากว่าการสตาร์ตไม่ติด แต่ที่จริงแล้วนั้น อาจมีความผิดปกติของระบบเครื่องยนต์อยู่ แม้ว่าเครื่องยนต์จะสามารถทำงานได้ แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งเครื่องยนต์ก็ดับ และที่รายแรงกว่านั้นอาจถึงขั้นเครื่องน็อกไปเลยก็ได้ ให้ลองสังเกตก่อนว่า อาการการเร่งไม่ออกหรือไม่ขึ้นนั้นมาพร้อมเสียงแปลกๆ หรือไม่ เช่น มีเสียงดังคล้ายลมรั่วหรือดังแกร็กๆ ซึ่งเสียงแต่ละแบบจะแสดงถึงความผิดปกติแตกต่างกันไป หรือมีเสียงของไฟสปาร์ค (ลัดวงจร) หรือไม่ และสุดท้ายให้ดูถึงระบบเบรกว่าติดขัดหรือไม่ (อาจมาจากลูกสูบเบรก/ดรัมเบรกที่หมดสภาพ) ส่งผลให้มีความหนืดจนเครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไปและเร่งไม่ขึ้นนั่นเอง และนำข้อ 1,2 มาใช้ควบคู่กัน รวมทั้งทดลองเข็นรถเปล่าไปข้างหน้าดูว่ามีความฝืดหรือไม่
 
วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า : ให้ใช้ความเร็วต่ำที่สุดและหาที่จอดเมื่อปลอดภัย, รีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อมเพื่อตรวจเช็คแก้ไขโดยละเอียดอีกครั้ง 
หากผู้ขับใส่ใจในสุขภาพของมอเตอร์ไซค์ เพียงเพิ่มความช่างสังเกตอีกสักนิด ก็จะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเรื่องของเงิน และเวลา อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะสาเหตุของรถที่เสียหรืออุปกรณ์พังก่อนเวลาอันควรมักมาจากการที่ผู้ใช้รถลืมตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง นอกจากนี้ ก็ยังมีอาการอื่นๆ อีกมากมายที่ผู้ใช้รถต้องหมั่นคอยสังเกตให้เป็นนิสัย เพื่อความปลอดภัย อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนอย่าลืมกลับไปสังเกตรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองกันดูนะครับ ก่อนที่รถของเราจะพังไปเสียก่อน



ขอบคุณที่มาจาก : checkraka.com




12
หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเกิดเหตุสลดใจ เมื่อ นายภัทร์นฤณ พงษ์ธนานิกร ลูกชายของ นายประเสริฐ พงษ์ธนานิกร หรือ ดีเจระย้า เจ้าของค่ายเพลงรถไฟดนตรี อีกทั้งยังเป็นญาติของนักแสดงสาว ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ BMW S 1000 R สีเหลือง-ดำ แล้วเกิดเสียหลักชนราวสะพานบนสะพานลอยข้ามแยกคลองตันจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ Sanook! Auto จึงขอหยิบเรื่องราวของบิ๊กไบค์รุ่นนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกสักครั้ง

ใครที่เป็นสายซูเปอร์ไบค์คงทราบกันดีว่า ตระกูล RR แห่ง BMW นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการปฏิวัติแห่งวงการซูเปอร์ไบค์สายสปอร์ต ทั้งยังได้รับการต่อยอดและพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งรุ่น S 1000 RR นั้นโดดเด่นด้วยระบบ DTC หรือ Dynamic Traction Control ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับความไดนามิกในการขับขี่อันน่าหลงใหล

S 1000 RR มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้กำลัง 199 แรงม้า หรือ 146 กิโลวัตต์ ที่ 13,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 10,500 รอบต่อนาที

ด้านท่อไอเสียเป็นแบบคู่ ช่วยเพิ่มแรงบิดให้ช่วงเครื่องยนต์รอบต่ำ รอบการชาร์จอันยอดเยี่ยม และมีการลดการไหลกลับของไอเสียเพื่อเพิ่มพละกำลัง ให้เสียงที่สาวกซูเปอร์ไบค์ได้ยินแล้วใจเต้น แถมยังอยู่ในมาตรฐานระดับเสียงรบกวนใหม่ และมาตรฐาน EU-4 ตามหลักสากล

ในขณะที่การออกแบบก็เท่ได้ใจ แผงควบคุมพร้อมเครื่องวัดความเร็วแบบอนาล็อกความละเอียดสูง ไม่ว่าคุณจะตั้งค่าแบบใดก็ให้การแสดงผลที่ชัดเจน ทราบข้อมูลการขับขี่อยู่ตลอดเวลา ด้านหน้ารถมีช่องแยกขนาดใหญ่สำหรับช่องทางอากาศเข้า กระจังข้างแบบฉบับเฉพาะตัว

ทั้งนี้ยังมีโหมดขับขี่ถึง 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็น “Rain”, “Sport” และ “Race” กับสภาพพื้นถนนที่แตกต่างกันไป ร่วมด้วย Gear Shift Assistant Pro เทคโนโลยีการเปลี่ยนเกียร์ที่สายกีฬามอเตอร์สปอร์ตคุ้นเคยเป็นอย่างดี เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกำคลัตช์ เรียกได้ว่าไม่ต้องละมือออกจากแฮนด์บาร์ ช่วยในเรื่องลดระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์นั่นเอง

BMW S 1000 RR มีทั้งหมด 4 สี ไม่ว่าจะเป็น สีเทา Granite Gray Metallic, สีดำ Black Storm Metallic, สีแดง Racing Red และ สีน้ำเงิน Lupin Blue Metallic ส่วนสายคัสตอมก็สามารถออกแบบรถในสไตล์คุณเองได้อีกด้วย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 840,000 บาท


ขอบคุณที่มาจาก : sanook.com

13
สภาพอากาศปัจจุบันในเมืองไทย ต้องยอมรับว่าอากาศค่อนข้างร้อนอย่างมาก หลายคนที่ขับขี่มอเตอร์ไซต์จะไม่เหมือนกับรถยนต์ที่ผู้โดยสารจะอยู่ภายในรถ เพราะรถยนต์จะไม่เจอแดดโดยตรงเท่ากับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซต์ที่อยู่ด้านนอก ยิ่งตอนขับรถยนต์แล้วเจอจราจรติดขัดด้วยแล้ว ผู้ขับ และตัวรถยนต์เองจะต้องเจอสถาพอากาศที่ร้อนม

สภาพอากาศปัจจุบันในเมืองไทย ต้องยอมรับว่าอากาศค่อนข้างร้อนอย่างมาก หลายคนที่ขับขี่มอเตอร์ไซต์จะไม่เหมือนกับรถยนต์ที่ผู้โดยสารจะอยู่ภายในรถ เพราะรถยนต์จะไม่เจอแดดโดยตรงเท่ากับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซต์ที่อยู่ด้านนอก ยิ่งตอนขับรถยนต์แล้วเจอจราจรติดขัดด้วยแล้ว ผู้ขับ และตัวรถยนต์เองจะต้องเจอสถาพอากาศที่ร้อนมาก โดยเฉพาะเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ Bigbike ที่ถึงแม้ว่าจะมีระบบระบายความร้อนมาให้ แต่ก็มักจะมีอาการเครื่องร้อนอยู่บ่อยครั้ง

วันนี้ทาง Bikeandmotor มีเทคนิคเล็กๆ มาฝากเพื่อนชาวไบค์เกอร์ที่พบเจอปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัดในมอเตอร์ไซค์ Bigbike โดยสังเกตได้จากเข็มวัดความร้อนพุ่งสูงจนแกะตัวอักษร H ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์ร้อนนี้เราสามารถแก้ไขได้ เพื่อช่วยลดความร้อนของเครื่องยนต์ Bigbike สิ่งที่เพื่อนๆ ควรปฏิบัติจะมีดังนี้

 * เมื่อเครื่องร้อนจัดควรดับเครื่องยนต์
เวลาเพื่อนๆ เจอสัญญาณไฟแดง ติดอยู่บริเวณแยกที่มีการจราจรติดขัด วิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้ความร้อนลดลงคือ ให้ดับเครื่องยนต์พักไว้ และคอยสักเกตตัวเลขไฟแดงที่มีการบอกเวลาเปลี่ยนไฟ เพื่อให้เราสามารถเตรียมพร้อมในการสตาร์ทรถยนต์ได้ทันไฟเขียวได้ทันเวลา แต่ต้องดับเครื่องทุกครั้งเวลาที่ติดไฟแดง เพราะอาจทำให้ใช้พลังงานไฟจากแบตตเตอรี่ในการสตาร์ทรถหลายครั้งเกินไป

 * เวลาขับรถให้ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ
ในช่วงรถติดๆ ขับสลับจอดบ่อยๆ ให้พยายามใช้รอบเครื่องยนต์ให้ต่ำเท่าที่จะทำได้ หรือเปลี่ยนจังหวะเกียร์สูงๆ และใช้ความเร็วคงที่หรือกะระยะทางให้ความเร็วสม่ำเสมอ ก่อนที่จะต้องจอดติดนานๆ ในเส้นทางข้างหน้า เพื่อให้มีความเร็วพอที่ลมจะปะทะครีบระบายความร้อนหรือหม้อน้ำ รวมถึงให้สายลมจากพัดลมไฟฟ้าได้เป่าอากาศผ่านระบบระบายความร้อนได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น และให้ใช้ความเร็วเครื่องยนต์กับตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมกัน หากรอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไปอาจไม่มีกำลังในการเร่งแซงหรือเครื่องอาจดับได้

 * เวลาที่เจอรถติด พยายามหาพื้นที่ที่โล่งขณะรอ
เวลาเพื่อนๆ เจอรถติดจะเจอกับรถยนต์ที่ค่อนข้างแออัดอยู่ใกล้กัน ทางที่ดีที่สุดคือควรพยายามหาพื้นที่ในการรอสัญญาณไฟที่เป็นพื้นที่โล่ง เพื่อให้มีช่องว่างหรือช่องอากาศพัดผ่านได้สะดวก เพราะหากจอดใกล้กับรถยนต์หรือรถคันอื่นๆ ลมธรรมชาติอาจไม่สามารถพัดเข้าตัวเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้บริเวณที่จอดจะต้องเป็นจุดที่ปลอดภัย และไม่ผิดกฎหมายจราจร

 * ลองมาหาเส้นทางที่อื่นที่ไม่มีจราจรหนาแน่น
ในประเทศไทยมีหลายแห่งที่สามารถไปยังสถานที่เป้าหมายได้ เมื่อเรามองระยะไกลเห็นว่าแยกนั้นมีรถติดค่อนข้างมาก ให้เพื่อนๆ มองหาพื้นที่ หรือเส้นทางอื่นที่สามารถหลีกเลี่ยงให้ได้ก่อนที่จะถึงบริเวณที่มีรถติด อาจจะเปลี่ยนเป็นทางลัด วิ่งเส้นคู่ขนาน หรือเปลี่ยนเส้นทางเพื่ออ้อมไปอีกทางที่มีจำนวนรถหนาแน่นน้อยกว่า

 * เมื่อเจอทางโล่งให้ขับรถ Bigbike โดยใช้ความเร็วต่ำ
เมื่อผ่านพ้นจากรถติดไฟแดงมาแล้ว เมื่อเจอถนนพื้นที่โล่ง ไม่ควรเร่งเครื่องโดยใช้ความเร็วสูงเพราะจะยิ่งทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานหนัก ความร้อนภายในจะยิ่งสูงขึ้นมาก สิ่งที่ถูกต้องคือเราควรค่อยๆ ขับรถ Bigbike ออกไป ให้เพิ่มเพิ่มความเร็วให้เหมาะสมพอที่จะใช้เกียร์สูงๆ และให้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ได้โดยไม่ดับ ระหว่างที่ขับให้ใช้ความเร็วคงที่ เพื่อเพิ่มเวลาให้ลดพัดผ่านระบบระบายความร้อนให้นานมากที่สุด สำหรับคำแนะนำที่มาฝากเพื่อนๆ กันในวันนี้ ทาง Bikeandmotor หวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ชาวไบคเกอร์กันนะคะ ทั้งนี้ ความร้อนในตัวเครื่องยนต์ของ Bigbike จะลดลงได้อย่างที่เราต้องการไว้นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และสถานการณ์ในขณะนั้นด้วย ยิ่งเรารักษาดูแล และใส่ใจเครื่องยนต์มากเท่าไหร่ เครื่องยนต์ก็จะสามารถใช้งานได้ยาวนานมากเท่านั้นนะคะ


ขอบคุณที่มาจาก : khaorot.com

14
หน้าฝนแบบนี้ บอกเลยว่าน่าจะเป็นปัญหาและอุปสรรคสำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นสายขับขี่มอเตอร์ไซค์หรือบิ้กไบค์แน่ๆ จะเดินทางไปไหนมาไหน ต้องคอยระวังหรือตรวจสอบพยากรณ์อากาศก่อนเสมอว่า วันนี้ฝนจะตกไหมนะ แน่นอนว่าปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ การขี่มอเตอร์ไมค์ในหน้าฝนแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ และไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าอุบัติเหตุหรืออันตรายจะเกิดขึ้นตอนไหน เนื่องจากพื้นท้องถนนที่มีความลื่นและเปียก อาจจะทำให้ล้อรถไม่สามารถทรงตัวหรือเบรกกระทันหันได้ทันที ขี่มอเตอร์ไซค์อย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน ดังนั้นวันนี้ มาสิ ได้นำเทคนิคการขี่รถมอเตอร์ไซค์ง่ายๆ ให้ปลอดภัยในหน้าฝนแบบนี้มาฝากกัน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายมาฝากกันจ้า 1.   ขี่รถด้วยความเหมาะสม ขอเตือนเพื่อนๆ คนไหนที่ชอบขี่รถด้วยความเร็วก่อนเลยว่า อย่าขี่รถเร็วในช่วงหน้าฝนแบบนี้นะ อันตรายมากๆ สามารถเกิดอุบัติเหตุได้เลย ในช่วงที่พื้นถนนลื่นและเปียกแบบนี้ การขี่รถด้วยความเร็วเหมาะสมจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและผู้โดยสารของเรา 2.   อย่าเบรกกระทันหัน การเบรกทันที ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ ในหน้าฝนแบบนี้ การที่เราผ่อนเบรก ผ่อนคันเร่ง เพื่อชะลอความเร็วของมอเตอร์ไซค์แทนการเบรกทันทีนั้นเป็นเรื่องที่ดีเอามากๆ จะช่วยให้หยุดรถได้อย่างปลอดภัย รับรองทำแบบนี้ปลอดภัยหายห่วงเรื่องอุบัติเหตุและอันตรายชัวร์ 3.   มีสติตลอดเวลา ข้อสุดท้าย เรื่องของสติและสมาธินั้นสำคัญมากๆ เพื่อนๆ อาจจะใจร้อนที่รถติด ถนนเปียก จนเกิดความหงุดหงิดและปัญหาทางจิตใจ แต่เราควรตั้งสติให้ดี ใจเย็น มีความระมัดระวังให้มากขึ้น เพื่อลดอุบัติเหตุและอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ เท่านี้เทคนิคง่ายๆ ที่หากเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่ปฎิบัติตามนี้ รับรองว่าหน้าฝนในช่วงนี้ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ขี่รถอย่างมีสติและสมาธิ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและผู้โดยสารของเราแน่นอนนะ ส่วนเพื่อนๆ คนไหนที่ยังไม่ได้ทำประภัยรถมอเตอร์ไซค์และสนใจอยากจะทำ คลิกที่นี่ เพื่อสมัครจะได้อุ่นใจได้มากขึ้นเวลาขี่รถเดินทางไปไหนมาไหน หรือ โทร 02 710 3100 เพื่อสอบถามข้อมูลได้เลยจ้า ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

15
      หลังจากที่เปิดตัวกันครั้งแรกในโลกที่งาน Tokyo Motor Show 2017 ที่ผ่านมา และแล้วล่าสุดรถสามล้อบ้าพลังอย่าง Yamaha Niken ก็ได้เปิดราคากันอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเราจะไปทบทวนถึงรายละเอียดของตัวรถกันพร้อมกับราคาที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

     Yamaha Niken แปลจากภาษาญี่ปุ่นได้อย่างตรงตัวว่า “ดาบคู่” ที่สอดคล้องกับระบบขับเคลื่อนด้านหน้าที่เป็นล้อแบบคู่ โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ Crossplane ขนาด 847 ซีซี 3 ลูกสูบ 4 จังหวะ 12 วาล์วแบบ DOHC ขนาดกระบอกสูบและช่วงชักอยู่ที่ 78.0 x 59.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 11.5 :1 ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ยกมาจากเนกเกตตัวรองของทางค่ายอย่างเจ้า Yamaha MT-09 ที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้ถึง 115 PS ที่ 10,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดได้ 87.5 นิวตันเมตรที่ 8,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ Constant Mesh 6 สปีด ระบบคลัทซ์แบบ Wet Multiple ส่งกำลังสุดท้ายด้วยระบบโซ่ หน้าจอแสดงผลดิจิตอลเต็มรูปแบบ

    โครงสร้างตัวถังของเจ้า Niken นั้นถูกออกแบบมาเป็นพิเศษโดยใช้เทคโนโลยี Hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง Steel และ Aluminum ได้อย่างลงตัวมีความแข็งแรงและทนทาน โดดเด่นด้วยระบบ LMW (Lean Multi Weeler) ที่จะทำให้การทำงานของสองล้อคู่หน้าทำงานได้อย่างสอดคล้องกัน และสามารถเอียงตัวได้สูงถึง 45 องศา ระบบกันสะเทือนหน้าหัวกลับ Upside-Down แบบคู่ ขนาด 43 มิลลิเมตรของ Ackerman ที่มีระยะยุบตัวสูงสุด 110 มิลลิเมตร ระบบกันสะเทือนหลัง Monoshock ทำงานร่วมกับสวิงร์มอลูมิเนียมแบบ Link type suspension ระบบเบรกหน้า  Hydraulic Disc ขนาด 298 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับระบบเบรกหลังที่เป็น Hydraulic Disc ขนาด 282 มิลลิเมตร พร้อมยางคู่หน้าขนาด 120/70 ZR15 และยางหลัง 190/55 ZR17 ตัวรถมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการขับขี่ทั้งระบบ คันเร่งไฟฟ้า YCC-T, D-Mode, Cruise Control และระบบ Traction Control รวมไปถึงการขับขี่อย่างมั่นใจด้วยระบบ Assist&Slipper Clutch และระบบ Quick Shifter ทั้งขึ้นและลดเกียร์ มิติตัวรถมีความ กว้าง x ยาว x สูงที่ 885 x 2,1501 x 250 มิลลิเมตร ตัวเบาะนั่งสูง 820 มิลลิเมตร ถังน้ำมันจุได้ถึง 18 ลิตร น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 263 กิโลกรัมรวมน้ำมันและของเหลวเต็มถัง

     จุดเด่นของ 2018 Yamaha Niken
จุดแรกที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการที่เป็นรถสามล้อที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่ถึง 847 ซีซี นั้น การควบคุมระบบการเลี้ยวหรือการแบนโค้งของเจ้า Niken นั้นกลับแตกต่างออกไปจากรถสามล้อทั่วๆ ไป เพราะเจ้า Niken คันนี้สามารถเอียงตัวเข้าโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเอียงตัวได้สูงสุดถึง 45 องศา ซึ่งเปรียบเทียบกับรถสามล้อในท้องตลาดทั่วไปแล้ว เจ้า Niken คันนี้สามารถเอียงตัวเข้าโค้งได้มากกว่าใครๆ อีกทั้งเครื่องยนต์ Crossplane ที่สามารถตอบสนองผู้ขับขี่ได้ดีในทุกๆ ย่านความเร็วแล้ว คำว่า “ที่สุด” คงไม่ดูเกินไปสำหรับเจ้า Yamaha Niken คันนี้


    โดยราคาที่เปิดตัวกันไปทางฝั่ง UK นั้นจะมีราคาอยู่ที่ £13,499 หรือแปลงเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 584,000 บาท ซึ่งหลังจากนี้ทาง Yamaha ประเทศไทยก็น่าจะมีการวางจำหน่ายกันในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งราคาบ้านเรานั้นจะต้องติดตามกันต่อไปว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่

ขอบคุณรูปภาพจาก  www.totalmotorcycle.com

หน้า: [1] 2